วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ธรรมจักรแปล

ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง

เอวัมเม สุตัง
ข้าพเจ้า (คือพระอานนท์เถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้

เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพารณสี

ตัตระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุปัญจวัคคีย์มาแล้ว ตรัสว่า

เทวเม ภิกขะเว อันตา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุดแห่งการกระทำสองอย่างเหล่านี้ มีอยู่

ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา
เป็นสิ่งที่บรรพชิตไม่ควรข้องแวะเลย

โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค
นี้คือการประกอบตนพัวพันอยู่ด้วยความใคร่ในกามทั้งหลาย

หีโน
เป็นของต่ำทราม

คัมโม
ของชาวบ้าน

โปถุชชะนิโก
เป็นของคนชั้นปุถุชน

อะนะริโย
ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า

อะนัตถะสัญหิโต
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เลย นี้อย่างหนึ่ง

โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค
อีกอย่างหนึ่ง คือประกอบการทรมานคนให้ลำบาก

ทุกโข
เป็นสิ่งนำมาซึ่งทุกข์

อะนะริโย
ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า

อะนัตถะสัญหิโต
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เลย

เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมาปะฏิปะทา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลาง ไม่เข้าไปหาที่สุดแห่งการกระทำสองอย่างนั้น มีอยู่

ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา
เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว

จักขุกะระณี
เป็นเครื่องกระทำให้เกิดจักษุ

ญาณะกะระณี
เป็นเครื่องกระทำให้เกิดญาณ

อุปะสะมายะ
เพื่อความสงบ

อะภิญญายะ
เพื่อความรู้ยิ่ง

สัมโพธายะ
เพื่อความรู้พร้อม

นิพพานายะ สังวัตตะติ
เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน

กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลางนั้น เป็นอย่างไรเล่า

ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา
เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคนได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว

จักขุกะระณี
เป็นเครื่องกระทำให้เกิดจักษุ

ญาณะกะระณี
เป็นเครื่องกระทำให้เกิดญาณ

อุปะสะมายะ
เพื่อความสงบ

อะภิญญายะ
เพื่อความรู้ยิ่ง

สัมโพธายะ
เพื่อความรู้พร้อม

นิพพานายะ สังวัตตะติ
เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน

อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค
ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลางนั้น คือ ข้อปฏิบัติเป็นหนทางอังประเสริฐ ประกอบด้วยองค์แปดประการนี้เอง

เสยยะถีทัง
ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ

สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ (ความรู้ในทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ดับทุกข์ ดำเนินในถึงความดับทุกข์)

สัมมาสังกัปโป
ความดำริชอบ( เนกขัมมะ ดำริออกจากกาม พยาปาทะ ไม่มุ่งร้าย อะวิหิงสา ไม่เบียดเบียน)

สัมมาวาจา
การพูดจาชอบ (มุสาวาทา เว้นจากการพูดไม่จริง ปิสุณายะ วาจาย เว้นพูดส่อเสียด ผะรุสายะ วาจายะ เว้นพูดหยาบ สัมผัปปะลาปา เว้นพูดเพ้อเจ้อ)

สัมมากัมมันโต
การทำการงานชอบ (ปาณาติปาตา เว้นจากการฆ่า อะทินนาทานา เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ กาเมสุมิจฉา เว้นจากการประพฤติผิดในกาม)

สัมมาอาชีโว
การเลี้ยงชีวิตชอบ (มิจฉาอาชีวัง ละการเลี้ยงชีวิตที่ผิดเสีย)

สัมมาวายาโม
ความพากเพียรชอบ (ทำความพอใจ พยายามปรารถความเพียร ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะยังอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่ยังไม่เกิดที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น ประคองตั้งจิตไว้เพื่อความตั้งอยู่ ความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้น)

สัมมาสติ
ความระลึกชอบ (เห็นกายในกาย มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ สติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจ เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม)

สัมมาสะมาธิ
ความตั้งใจมั่นชอบ (สงัดจากกาม สงัดจากธรรมที่เป็นอกุศล
เข้าถึงปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปิติและสุขอันเกิดจากวิเวก
เข้าถึงทุติฌาน เครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ไม่มีวิตก วิจาร มีแต่ปิติและสุขอันเกิดจากสมาธิ
เข้าถึงตติยฌาน มีแต่ความเป็นสติ เป็นธรรมชาตบริสุทธิเพราะอุเบกขา ย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย อยู่เป็นปรกติสุข
เข้าถึงจตุตถัง ฌานัง ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา)

อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แล คือข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลาง

ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา
เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว

จักขุกะระณี
เป็นเครื่องกระทำให้เกิดจักษุ

ญาณะกะระณี
เป็นเครื่องกระทำให้เกิดญาณ

อุปะสะมายะ
เพื่อความสงบ

อะภิญญายะ
เพื่อความรู้ยิ่ง

สัมโพธายะ
เพื่อความรู้พร้อม

นิพพานะยะ สังวัตตะติ
เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน

อิทัง โข ปะนะ ภิขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจังฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อริยสัจจ์ คือทุกข์นี้ มีอยู่

ชาติปิ ทุกขา
คือความเกิดก็เป็นทุกข์

ชะราปิ ทุกขา
ความแก่ก็เป็นทุกข์

มะระณัมปิ ทุกขัง
ความตายก็เป็นทุกข์

โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา
ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์

อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
ความประสพกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์

ปิเยหิ วิปปะโยโคทุกโข
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์

ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์

สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขาฯ
ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้งห้า เป็นตัวทุกข์

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อริยสัจจ์คือเหตุให้เกิดทุกข์นี้ มีอยู่

ยายัง ตัณหา
นี้คือตัณหา

โปโนพภะวิกา
อันเป็นเครื่องทำให้มีการเกิดอีก

นันทิราคะสะหะคะตา
อันประกอบอยู่ด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน

ตัตระตัตราภินันทินีฯ
เป็นเครื่องให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ

เสยยะถีทังฯ
ได้แก่ตัณหาเหล่านี้ คือ

กามะตัณหา
ตัณหาในกาม

ภะวะตัณหา
ตัณหาในความมีความเป็น

วิภาวะตัณหา
ตัณหาในความไม่มีไม่เป็น

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจังฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อริยสัจจ์ คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นี้ มีอยู่

โยตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ
นี้คือความดับสนิทเพราะจางไป โดยไม่เหลือของตัณหานั้น นั่นเอง

จาโค
เป็นความสละทิ้ง

ปะฏินิสสัคโค
เป็นความสลัดคืน

มุตติ
เป็นความปล่อย

อะนาละโยฯ
เป็นความทำไม่ให้มีที่อาศัยซึ่งตัณหานั้น

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อริยสัจจ์คือข้อปฏิบัติที่ทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือ แห่งทุกข์นี้ มีอยู่

อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโคฯ
นี้คือข้อปฏิบัติเป็นหนทางอันประเสริฐ ประกอบด้วย องค์แปดประการ

เสยยะถีทังฯ
ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ

สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปโป ความดำริชอบ
สัมมาวาจา การพูดจาชอบ
สัมมากัมมันโต การทำการงานชอบ
สัมมาอาชีโว การเลี้ยงชีวิตชอบ
สัมมาวายาโม ความพากเพียรชอบ
สัมมาสติ ความระลึกชอบ
สัมมาสะมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ

อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ว่าอริยสัจจ์คือทุกข์ เป็นอย่างนี้อย่างนี้ ดังนี้

ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ
ว่า ก็อริยสัจจ์คือทุกข์นี้นั้นแล เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ ดังนี้

ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปริญญาตันติ
ว่าก็อริยสัจจ์คือทุกข์นั้นแล เรากำหนดรู้ได้แล้ว ดังนี้

อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะระยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ,ญาณัง อุทะปาทิ,ปัญญา อุทะปาทิ,วิชชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ว่าอริยสัจจ์ คือเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ดังนี้

ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ
ว่า ก็อริยสัจจ์คือเหตุให้เกิดทุกข์นั้นแล เป็นสิ่งที่ควรละเสีย ดังนี้,

ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันต
ว่าก็อริยสัจจ์คือเหตุให้เกิดทุกข์นั้นแล เราละได้แล้ว ดังนี้

อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เมภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ว่าอริยสัจจ์คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้อย่างนี้ ดังนี้

ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ
ว่า ก็อริยสัจจ์คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแล เป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง ดังนี้,

ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ
ว่า ก็อริยสัจจ์คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแล เราทำให้แจ้งได้แล้ว ดังนี้

อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินีปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ว่าอริยสัจจ์ คือข้อปฏิบัติที่ทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้อย่างนี้ ดังนี้

ตังโข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินีปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ
ว่าก็อริยสัจจ์คือ ข้อปฏิบัติที่ทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแล เป็นสิ่งที่ควรทำให้เกิดมี ดังนี้

ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินีปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ
ว่าก็อริยสัจจ์ คือข้อปฏิบัติที่ทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแล เราทำให้เกิดมีได้แล้ว ดังนี้

ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติ ปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยาถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิติ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง มีปริวัฏฏ์สาม มีอาการสิบสอง เช่นนั้น ในอริยสัจจ์ทั้งสี่เหล่านี้ ยังไม่เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เรา อยู่เพียงใด

เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรหมะเก สัสสะมะณะ พราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตลอดกาลเพียงนั้น เรายังไม่ปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้ง

เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์

ยะโต จะโข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติ ปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง มีปริวัฏฏ์สาม มีอาการสิบสอง เช่นนั้น ในอริยสัจจ์ทั้งนี่เหล่านี้ เป็นของบริสุทธิ์ หมดจดด้วยดีแก่เรา

อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรหมะเก สัสสะมะณะพรามะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง
เมื่อนั้น เราปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้พร้อม เฉพาะแล้ว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์

ญาณัญจะ ปะนะ เม ภิกขะเว ทัสสะนัง อะทะปาทิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณและทัสสนะได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา

เม วิมุตติ
ว่าความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ

อะยะมันติมา ชาติ
ความเกิดนี้ เป็นความเกิดครั้งสุดท้าย

นัตถิทานิ ปุนัพภะโว ติ
บัดนี้ ความเกิดอีกย่อมไม่มี ดังนี้

ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ตาวะติงสานัง เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ยามานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
พรหมะกายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง พรหมะกายิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
พรหมะปาริสัชชา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง พรหมะปาริสัชชานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
พรหมะปะโรหิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง พรหมะปะโรหิตา เทวานัง สัททัง สุตวา
มะหาพรหมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง มะหาพรหมา เทวานัง สัททัง สุตวา
ปะริตตาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ปะริตตาภา เทวานัง สัททัง สุตวา
ปะมาณาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง อัปปะมาณาภา เทวานัง สัททัง สุตวา
อาภัสสะรา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง อาภัสสะรานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ปะริตตะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ปะริตตะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อัปปะมาณะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง อัปปะมาณะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
สุภะกิณณะหะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง สุภะกิณณะหะกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
เวหัปผะลา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง เวหัปผะลา เทวานัง สัททัง สุตวา
อะวิหา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง อะวิหา เทวานัง สัททัง สุตวา
อะตัปปา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง อะตัปปานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
สุทัสสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง สุทัสสา เทวานัง สัททัง สุตวา
สุทัสสี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง สุทัสสี เทวานัง สัททัง สุตวา
อะกะนิฏฐะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง

เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะวา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติ

อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ พรหมะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิ อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิ อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง

อะถะ โข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติ

อิติหิทัง อายัสมะโต โกณฑัญญัสสะ อัญญาโกณฑัญโญ เตววะ นามัง อะโหสีติ

ป้ายกำกับ

ป้ายกำกับ